วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

บทบาทความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา

พัฒนาการของเทคโนโลยีทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก ลองย้อนไปในอดีตโลกมีกำเนินมาประมาณ 4600 ล้านปี เชื่อกันว่าพัฒนาการตามธรรมชาติทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตถือกำเนินบนโลกประมาณ 500 ล้านปีที่แล้ว ยุคไดโนเสาร์มีอายุอยู่ในช่วง 200 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ค่อย ๆ พัฒนามา คาดคะเนว่าเมื่อห้าแสนปีที่แล้วมนุษย์สามารถส่งสัญญาณท่าทางสื่อสารระหว่างกันและพัฒนามาเป็นภาษา มนุษย์สามารถสร้างตัวหนังสือ และจารึกไว้ตามผนึกถ้ำ เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่ามนุษย์ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการพัฒนาตัวหนังสือที่ใช้แทนภาษาพูด และจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 5000 ปีที่แล้ว กล่าวได้ว่าฐานทางประวัติศาสตร์พบว่า มนุษย์สามารถจัดพิมพ์หนังสือได้เมื่อประมาณ 500 ถึง 800 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีเริ่มเข้ามาช่วยในการพิมพ์ ทำให้การสื่อสารด้วยข้อความและภาษาเพิ่มขึ้นมาก เทคโนโลยีพัฒนามาจนถึงการสื่อสารกัน โดยส่งข้อความเป็นเสียงทางสายโทรศัพท์ได้ประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว และเมื่อประมาณห้าสิบปีที่แล้ว ก็มีการส่งภาพโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ทำให้มีการใช้สารสนเทศในรูปแบบข่าวสารมากขึ้น ในปัจจุบันมีสถานที่วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ แ ละสื่อต่าง ๆ ที่ใช้ในการกระจ่ายข่าวสาร มีการแพร่ภาพทางโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเพื่อรายงานเหตุการณ์สด เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก บทบาทของการพัฒนาเทคโนโลยีรวดเร็วขึ้นเมื่อมีการพัฒนาอุปกรณ์ทางด้านคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ จะเห็นได้ว่าในช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมาจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เข้าไปเกี่ยวข้องให้เห็นอยู่ตลอดเวลา

นักเรียนลองจินตนาการดูว่า นักเรียนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านใดบ้างจากตัวอย่างต่อไปนี้ เมื่อตื่นนอนนักเรียนอาจได้ยินเสียงจากวิทยุ ซึ่งกระจายเสียงข่าวสารหรือเพลงไปทั่ว นักเรียนใช้โทรศัพท์สื่อสารกับเพื่อน ดูรายการทีวี วีดีโอเมื่อมาโรงเรียนเดินทางผ่านถนนที่มีระบบไฟสัญญาณที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ถ้าไปศูนย์การค้า ขึ้นลิฟต์ ขึ้นบันไดเลื่อนซึ่งควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ ที่บ้านนักเรียน นักเรียนอาจอยู่ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศที่ควบคุมอุณหภูมิโดยอัตโนมัติ คุณแม่ทำอาหารด้วยเตาอบซึ่งควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า จะเห็นว่าชีวิตในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเป็นอันมาก อุปกรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นส่วนประกอบในการทำงาน
แนวโน้มการใช้เทคโนโลยีขององค์การ

   ปัจจุบันพัฒนาการและการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในองค์การ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งก่อให้เกิดความท้าทายแก่ผู้บริหารในอนาคตให้นำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ธุรกิจ โดยผู้บริหารต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และวิสัยทัศน์ต่อแนวโน้มของเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถตัดสินใจนำเทคโนโลยีมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเราสามารถจำแนกผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อการทำงานขององค์การออกเป็น 5 ลักษณะ ดังต่อไปนี้

            1.การปรับปรุงรูปแบบการทำงานขององค์การ
เทคโนโลยีหลายอย่างได้ถูกนำเข้ามาใช้ภายในองค์การ และส่งผลให้กระบวนการทำงานได้เปลี่ยนรูปแบบไป ตัวอย่างเช่น การนำเอาเทคโนโลยีไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (eletronics mail) เข้ามาใช้ภายในองค์การ ทำให้การส่งข่าวสารไม่ต้องใช้พนักงานเดินหนังสืออีกต่อไป ตลอดจนลดการใช้กระดาษที่ต้องพิมพ์ข่าวสารและสามารถส่งข่าวสารไปถึงบุคคลที่ต้องการได้เป็นจำนวนมากและรวดเร็ว หรือเทคโนโลยีสำนักงานอัตโนมัติ (ofice automation) ที่เปลี่ยนรูปแบบของกระบวนการทำงานและประสานงานในองค์การให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้  บริหารในระดับต่าง ๆ ขององค์การ
 2.การสนับสนุนการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์โดยเทคโนโลยีสารสนเทศจะผลิตสารสนเทศที่สำคัญให้แก่ผู้บริหารที่จะใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจและการสร้างความได้เปรียบเหนือกว่าคู่แข่งขัน ในอนาคตการแข่งขันในแต่ละอุตสาหกรรมจะมีความรุนแรงมากขึ้น การบริหารงานของผู้บริหารที่อาศัยเพียงประสบการณ์และโชคชะตาอาจจะไม่เพียงพอ แต่ถ้าผู้บริหารมีสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพมาประกอบในการตัดสินใจ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาและบริหารงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น ดังนั้นผู้บริหารในอนาคตจะต้องสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการสร้างสารสนเทศที่ดีให้กับตนเองและองค์การ
    3.เครื่องมืเทคโนโลยีถูกนำเข้ามาใช้ภายในองค์การ เพื่อให้การทำงานคล่องตัวและมีประสิทธิภาพ เช่น การออกเอกสารต่าง ๆ โดยใช้คอมพิวเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบชิ้นส่วนของเครื่องจักร และการควบคุมการผลิต เป็นต้น เราจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีสามารถที่จะนำมาประยุกต์ในหลาย ๆ ด้าน โดยเทคโนโลยีจะช่วยเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงคุณภาพของการที่จะนำมาประยุกต์ในหลาย ๆ ด้าน โดยเทคโนโลยีจะช่วยเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงคุณภาพของการทำงานให้ดีขึ้น หรือแม้กระทั่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของแรงงานและวัสดุสิ้นเปลืองต่าง ๆลง แต่ยังคงรักษาหรือเพิ่มคุณภาพในการทำงานหรือการให้บริการลูกค้าที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าเทคโนโลยีจะถูกนำเข้ามาใช้ในการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงกระบวนการในการดำเนินงานขององค์การมากขึ้นในอนาคตในการทำงาน
         4.การเพิ่มปัจจุบันคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือ PC ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนการใช้งานสะดวกและไม่ซับซ้อนเหมือนอย่างคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ในท้องตลาดยังมีชุดคำสั่งประยุกต์ (application software) อีกมากมายที่สามารถใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตของงานได้อย่างมาก และเมื่อต่อคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเข้ากับระบบเครือข่าย ก็จะทำให้องค์การสามารถรับ-ส่งข้อมูลและข่าวสารจากทั้งภายในและภายนอกองค์การได้อีกด้วย ดังนั้นในอนาคตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลจะกลายเป็นเครื่องมือหลักของพนักงานและผู้บริหารขององค์การ



              ไมโครซอฟท์ได้ออกมาประกาศในงาน IDF 2013 ว่าหลังจากเปิดให้ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ Windows 8.1 RTM แก่สมาชิก MSDN และ TechNet ภายใน 24 ชั่มโมง มีการดาวน์โหลดสูงถึง 2 ล้านเลยทีเดียว ทว่าในส่วนของสมาชิก DreamSpark Premium ที่มีการสอบถามเข้าไปทางไมโครซอฟท์ และได้คำตอบกลับมาว่าในขณะนี้สามารถได้ดาวน์โหลดได้เพียงผู้ดูแลเท่านั้นครับ ส่วนสมาชิกจพสามารถดาวน์โหลดได้ในวันที่ 19 กันยายนนี้


สำหรับโครงการ DreamSpark คือโครงการที่ไมโครซอฟท์ได้แจกซอฟท์แวร์ให้กับนักเรียนนักศึกษาและอาจารย์ โดยโครงการนี้มีด้วยกัน 2 แพ็คเกจคือ DreamSpark Standard และ DreamSpark Premium ทั้งนี้ในส่วนของ Premium นักเรียนนักศึกษาสามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่นสำหรับเครื่องไคลเอนท์ได้ครับ
ICTกับชุมชนเสมือนจริง ความท้าทายในโลกอนาคต

       กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคโลกาภิวัตน์ได้มีความเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นองค์ประกอบที่เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตประจำวันของทุกคน อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ต เป็นต้น รวมทั้งเทคโนโลยีอื่นๆที่ทันสมัยได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบต่อผู้คนในยุคปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญทำอย่างไรจะให้ผู้คนมีกระบวนการปรับตัวและมีแผนรองรับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างไร้ขีดจำกัดในปัจจุบันอย่างรู้เท่าทันและมีภูมิคุ้มกันที่ดี
วันที 30 ตุลาคม 2552 ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมการประชุมระดมความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง(High-level Expert Roundtable) ชุดที่ 1 เรื่อง อนาคตประเทศไทยในปี 2020 : นัยต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT2020) กลุ่มการเมือง/ การปกครอง/การบริหารราชการแผ่นดิน ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ ที่ได้จัดขึ้นโดย ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ฉบับที่ 2) ของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2556
ในสถานที่ประชุมระดมความคิดเห็นนั้น ได้มีนักวิชาการ นักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้เข้าร่วมประชุมหลายท่าน ในที่ประชุมได้มีการนำเสนอภาพรวมของโครงการและภาพอนาคตเบื้องต้น โดย ดร.ชฎามาศ ธุวะเศรษฐกุล รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติและหัวหน้าโครงการจัดทำกรอบนโยบาย ICT2020 ได้นำเสนอถึงภาพรวมประเด็นเกี่ยวกับกรอบนโยบาย อนาคตประเทศไทยในปี 2020 : นัยต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT2020)ว่าควรมีทิศทางเป็นอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า
นอกจากนั้น ยังมีการอภิปรายจุดประกายความคิด โดยนักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายอาวุธ วรรณวงศ์ จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(กพร.) ดร. พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายณฐพล วิเชียรเพริศ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นายพฤกษ์ พัฒโน รองนายกเทศมนตรี เทศบาลนครหาดใหญ่ เป็นผู้อภิปราย ซึ่งแต่ละท่านได้เสนอมุมมองของICT เชื่อมโยงกับการเมือง การปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดิน ไว้หลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยมี ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ ที่ปรึกษาโครงการและที่ปรึกษาอาวุโส สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินการอภิปาย รวมทั้งการนำเสนอความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุมในประเด็นที่เกี่ยวข้องอีกหลายท่าน
ประเด็นการประชุมโดยสรุปแล้ว กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่เชื่อมโยงกับการเมืองการปกครองไทยและการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งในยุคปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างหลากหลายช่องทาง เช่น หน่วยงานราชการ ได้มีการพัฒนาเว็บไซด์ที่เป็นของหน่วยงาน รวมทั้งการบริการประชาชนให้มีความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึง และที่สำคัญทำอย่างไรให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินงานของภาครัฐ รวมทั้งเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดแผนพัฒนาในด้านต่างๆ ซึ่งดร. พิชญ์ พงศ์สวัสดิ์ ได้เปิดประเด็นไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับกระบวนการทำแผนแม่บท ของ ICT ว่า แผนนั้นควรมีหมุดหมายที่ชัดเจนว่า ทิศทางของการนำแผนไปปฏิบัติหรือจุดมุ่งหมายนั้นเป็นอย่างไร นอกจากนั้นยังได้กล่าวถึง กระบวนการที่เรียกว่า สาธารณะ(Public) ประชาสังคม (civil society) รวมทั้งความรับผิดชอบต่อสาธารณะ และการเสริมพลังอำนาจของประชาชน (Empowerment) และควรมีการออกแบบเชิงสถาบันที่รองรับเกี่ยวกับการพัฒนาICTและการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
และอีกหลายท่านได้เสนอมุมมองที่เป็นประสบการณ์รวมทั้งข้อเสนอแนะไว้หลากหลายประเด็นเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน เรื่อง E-Governance  และประเด็นเกี่ยวกับท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จะต้องมีการรองรับการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลาง เนื่องจากมีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น กระบวนการนำ IT มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาท้องถิ่นในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจชุมชน วิสาหกิจชุมชน และการเมืองท้องถิ่น รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งซึ่ง รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร จากมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย ได้นำกรณีเกี่ยวกับการเลือกตั้งของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประเทศญี่ปุ่นได้นำระบบการเลือกตั้งแบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้
ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการอิสระที่ได้รับเกียรติเข้าร่วมประชุมระดมความคิดเห็นมีความเห็นด้วยกับแนวคิดและข้อเสนอแนะจากหลายๆท่านที่ได้นำเสนอในที่ประชุม ในที่นี้ผู้เขียนขอนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนา ICT ทางด้านการเมือง การปกครอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้เขียนใคร่ที่จะนำเสนอประเด็นที่นอกเหนือจากผู้เข้าร่วมประชุมเสนอไว้ ดังต่อไปนี้ คือ
ประเด็นเกี่ยวกับ การพัฒนาICT ของภาคประชาชน หรือภาคประชาสังคม การพัฒนาประชาธิปไตยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง การปกครองไทย ปัจจุบัน ระบบสารสนเทศหรือ เทคโนโลยีสมัยใหม่เช่น อินเตอร์เน็ต เว็บไซด์ การสื่อสารที่ทันสมัยผ่านระบบมือถือ หรือระบบการสื่อสารผ่านดาวเทียมที่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ประเด็นที่ผู้เข้าร่วมประชุมได้นำเสนอส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การใช้เทคโนโลยีของภาครัฐ E-Governace ซึ่งได้เห็นมุมมองการบริหารงานของภาครัฐและการพัฒนา IT ของภาครัฐเพื่อบริการประชาชน และบางท่านได้นำเสนอเกี่ยวกับ ICT ชุมชนซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ประเด็นเกี่ยวกับ ICT ที่เป็นของภาคประชาชน  (PO) หรือภาคประชาสังคม และองค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐ (NGO) ที่ได้มีการเปิดพื้นที่สาธารณะทางด้านการเสนอความคิดและการพัฒนาประเทศ รวมทั้งกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจของภาครัฐ ซึ่งถือว่าเป็นพลังที่สำคัญในการช่วยให้การพัฒนาประชาธิปไตยและการบริหารภาครัฐได้มีการยึดหลักการบริหารจัดการที่ดี หรือหลักธรรมาภิบาล ซึ่งผู้เขียนได้เข้าไปค้นหาเว็บไซด์ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรภาคประชาชน ภาคประชาสังคม รวมทั้งกลุ่มองค์กรชุมชน และภาคองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ได้จัดทำเป็นเว็บไซด์ ซึ่งถือว่าเป็นเว็บทางเลือกของภาคประชาชน ที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประชาธิปไตย รวมทั้งการเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ มีหลายเว็บไซด์ที่ได้มีข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชน ซึ่งนอกเหนือจากเว็บไซด์ของรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่ให้ข้อมูลข่าวสาร และนโยบายการพัฒนาประเทศ รวมทั้งเว็บไซด์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งบางแห่งได้มีการจัดทำอย่างเป็นระบบและสามารถให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวก ซึ่งถือเป็นการบริหารตามหลักความโปร่งใสและเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนเป็นหลัก ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)มาเป็นเครื่องมือหลักในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลชุมชน ข้อมูลข่าวสารของ อปท. ทั้งข้อมูลด้านการบริหาร ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมาย ข้อมูลเกี่ยวกับการพัฒนา ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้าง และการให้ประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องทุจริตผ่านทางช่องทางอินเตอร์เน็ตหรือเว็บไซด์ของ อปท. เป็นต้น
ภาพของกระบวนการพัฒนา IT ของท้องถิ่นในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าหากว่า ICT ได้มีแผนแม่บทที่ชัดเจนในการพัฒนารวมทั้งกระบวนการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งสนับสนุนด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพและวางระบบฐานข้อมูลที่มีความถูกต้อง รวมทั้งกระบวนการประสานความร่วมมือกับองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำระบบฐานข้อมูลท้องถิ่น รวมทั้งวัฒนธรรมท้องถิ่น อย่างเป็นระบบแล้ว กระบวนการพัฒนาท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยการใช้ IT มาเป็นเครื่องมือ และเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคประชาชน ภาคประชาสังคมให้เข้ามามีส่วนร่วมทั้งการพัฒนาและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบอย่างสร้างสรรค์แล้ว จะทำให้แนวทางการพัฒนาท้องถิ่นที่มีหลักธรรมาภิบาลในการบริหารและการพัฒนา และที่สำคัญคือ ประโยชน์จะตกอยู่ที่ประชาชนในท้องถิ่น
กระบวนการพัฒนาชุมชนเสมือนจริง (Virtual Community) ในโลกอนาคตอีก 10-20 ปี ข้างหน้า ผู้เขียนมีมุมมองว่า ควรมีการพัฒนาเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นฐานที่สำคัญในอนาคตให้มีความรู้ ความเข้าใจรวมทั้งการรู้เท่าทันเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างถูกต้อง มิใช่เพียงเพื่อตอบสนองความบันเทิง ความสนุกสนานเท่านั้น แต่ควรเป็นการเสริมสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านทางอินเตอร์เน็ต เว็บไซด์ อย่างถูกต้อง

นอกจากนั้นประเด็นเกี่ยวกับความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่ออินเตอร์เน็ต หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่และ กระบวนการคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน อัตลักษณ์ และวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยภาพรวมแล้วเทคโนโลยีสารสนเทศเปรียบเสมือนเป็นดาบสองคม ที่มีทั้งคุณและโทษในตัวของมันเอง แต่ทำอย่างไรจะให้มีการนำด้านคุณประโยชน์จากเทคโนโลยีมาใช้ให้มากที่สุด โดยสรุปก็คือ ในโลกอนาคตอีก 10-20 ปีข้างหน้าเทคโนโลยีสารสนเทศมีความทันสมัยมากขึ้นและประเด็นที่สำคัญคือทำอย่างไรจะให้ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ ได้มีแผนรองรับการพัฒนาทางด้าน IT ที่เป็นรูปธรรม เช่น การเสริมสร้างความรู้แก่เด็กและเยาวชนในการรู้เท่าทันเทคโนโลยี กระบวนการพัฒนาการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน รวมทั้งมีกลไกและมาตรการที่รองรับทั้งทางด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิส่วนบุคคลและมาตรการทางด้านกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิของประชาชน  และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาประชาธิปไตยในอนาคต
ความหมายของคำว่า ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ( Geographic Information System ) GIS”

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทำงานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้กำหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับตำแหน่งในแผนที่ ตำแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วนสัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถนำมาวิเคราะห์ด้วย GIS และทำให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้าย ถิ่นฐาน การบุกรุกทำลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผนที่ทำให้สามารถแปลและสื่อความหมาย ใช้งานได้ง่าย

    GIS เป็นระบบข้อมูลข่าวสารที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่สามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกับสภาพภูมิศาสตร์อื่นๆ สภาพท้องที่ สภาพการทำงานของระบบสัมพันธ์กับสัดส่วนระยะทางและพื้นที่จริงบนแผนที่ ข้อแตกต่างระหว่าง GIS กับ MIS นั้นสามารถพิจารณาได้จากลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูลที่จัดเก็บใน GIS มีลักษณะเป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ที่แสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนที่ (map) ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานข้อมูล (Database)การเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จะทำให้ผู้ใช้สามารถที่จะแสดงข้อมูลทั้งสองประเภทได้พร้อมๆ กัน เช่นสามารถจะค้นหาตำแหน่งของจุดตรวจวัดควันดำ ควันขาวได้โดยการระบุชื่อจุดตรวจ หรือในทางตรงกันข้าม สามารถที่จะสอบถามรายละเอียดของ จุดตรวจจากตำแหน่งที่เลือกขึ้นมา ซึ่งจะต่างจาก MIS ที่แสดง ภาพเพียงอย่างเดียว โดยจะขาดการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงกับรูปภาพนั้น เช่นใน CAD (Computer Aid Design) จะเป็นภาพเพียงอย่างเดียว แต่แผนที่ใน GIS จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งในเชิงพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ คือค่าพิกัดที่แน่นอน ข้อมูลใน GIS ทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่และข้อมูลเชิงบรรยาย สามารถอ้างอิงถึงตำแหน่งที่มีอยู่จริงบนพื้นโลกได้โดยอาศัยระบบพิกัดทางภูมิศาสตร์ (Geocode) ซึ่งจะสามารถอ้างอิงได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อมูลใน GIS ที่อ้างอิงกับพื้นผิวโลกโดยตรง หมายถึง ข้อมูลที่มีค่าพิกัดหรือมีตำแหน่งจริงบนพื้นโลกหรือในแผนที่ เช่น ตำแหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ สำหรับข้อมูล GIS ที่จะอ้างอิงกับข้อมูลบนพื้นโลกได้โดยทางอ้อมได้แก่ ข้อมูลของบ้าน(รวมถึงบ้านเลขที่ ซอย เขต แขวง จังหวัด และรหัสไปรษณีย์) โดยจากข้อมูลที่อยู่ เราสามารถทราบได้ว่าบ้านหลังนี้มีตำแหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพื้นโลก เนื่องจากบ้านทุกหลังจะมีที่อยู่ไม่ซ้ำกัน

ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นในปัจจุบัน และกำลังทำการศึกษาและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมต่อการใช้งานในอนาคต โครงการพัฒนาความรู้ต่าง ๆ เหล่านี้จะมีผลไม่เพียงต้องการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีสารสนเทศเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์การและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสังคมส่วนรวมอีกด้วย เราจะเห็นว่าปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์เพิ่มขึ้น ดังนั้นเราต้องพยายามติดตาม ศึกษา และทำความเข้าใจแนวทางและพัฒนาการที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตอย่างเหมาะสม

เทคโนโลยีสารสนเทศในโลกอนาคต


1. คอมพิวเตอร์ (Computer)

   ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาไปจากยุคแรกที่เครื่องมีขนาดใหญ่ทำงานได้ช้า ความสามารถต่ำ และใช้พลังงานสูง เป็นการใช้เทคโนโลยีวงจรรวมขนาดใหญ่ (very large scale integrated circuit : VLSI) ในการผลิตไมโครโปรเซสเซอร์ (microprocessor) ทำให้ประสิทธิภาพของส่วนประมวลผลของเครื่องพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ยังได้มีการพัฒนาหน่วยความจำให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่มีราคาถูกลง ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในปัจจุบัน โดยที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในขณะที่มีความสามารถเท่าเทียมหรือมากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ในสมัยก่อน ตลอดจนการนำคอมพิวเตอร์ชนิดลดชุดคำสั่ง (reduced instruction set computer) หรือ RISC มาใช้ในการออกแบบหน่วยประเมินผล ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยใช้คำสั่งพื้นฐานง่าย ๆ นอกจากนี้พัฒนาการและการประยุกต์ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ ทั้งสาขาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ส่งผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีการประมวลผลตามหลักเหตุผลของมนุษย์หรือระบบปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
       
2. ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) หรือ AI

     เป็นการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้มีความสามารถที่จะคิดแก้ปัญหาและให้เหตุผลได้เหมือนอย่างการใช้ภูมิปัญญาของมนุษย์จริง ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ในหลายสาขาวิชาได้ศึกษาและทดลองที่จะพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานที่มีเหตุผล โดยการเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ ซึ่งความรู้ทางด้านนี้ถ้าได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ อย่างมากมาย เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างผู้เชี่ยวชาญ และหุ่นยนต์ (Robotics)  เป็นการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ให้สามารถปฏิบัติงานและใช้ทักษะการเคลื่อนไหวได้ใกล้เคียงกับการทำงานของมนุษย์เป็นต้น

3. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (executive information system) หรือ EIS

     เป็นการพัฒนาระบบสารสนเทศที่สนับสนุนผู้บริหารในงานระดับวางแผนนโยบายและกลยุทธ์ขององค์การโดยที่ EIS จะถูกนำมาให้คำแนะนำผู้บริหารในการตัดสินใจเมื่อประสบปัญหาแบบไม่มีโครงสร้างหรือกึ่งโครงสร้าง โดย EIS เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่พิเศษของผู้บริหารในด้านต่าง ๆ เช่น สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์การ รวมทั้งสถานะของคู่แข่งขันด้วย โดยที่ระบบจะต้องมีความละเอียดอ่อนตลอดจนง่ายต่อการใช้งาน เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงจำนวนมากไม่เคยชินกับการติดต่อและสั่งงานโดยตรงกับระบบคอมพิวเตอร์

4. การจดจำเสียง (voice recognition)

 เป็นความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ที่จะทำให้คอมพิวเตอร์จดจำเสียงของผู้ใช้ ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีสาขานี้ยังไม่ประสบความสำเร็จตามที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการ ถ้าในอนาคตนักวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จในการนำความรู้ต่าง ๆ มาใช้สร้างระบบการจดจำเสียง ก็จะสามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างมหาศาลแก่การใช้งานคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยที่ผู้ใช้จะสามารถออกคำสั่งและตอบโต้กับคอมพิวเตอร์แทนการกดแป้นพิมพ์ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่ไม่เคยชินกับการใช้คอมพิวเตอร์ให้สามารถปรับตัวเข้ากับระบบได้ง่าย เช่น ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง การสั่งงานระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ และระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและขยายคุณค่าเพิ่มของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อธุรกิจ
5. การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (electronics data interchange) หรือ EDI

     เป็นการส่งข้อมูลหรือข่าวสารจากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นโดยผ่านทางระบบสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การส่งคำสั่งซื้อจากผู้ซื้อไปยังผู้ขายโดยตรง ปัจจุบันระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะช่วงลดระยะเวลาในการทำงานของแต่ละองค์การลง โดยองค์การจะสามารถส่งและรับสารสนเทศในการดำเนินธุรกิจ เช่น ใบสั่งซื้อและใบตอบรับผ่านระบบสื่อสารโทรคมนาคมที่มีอยู่ ทำให้ทั้งผู้ส่งและผู้รับไม่ต้องเสียเวลาเดินทา6. เส้นใยแก้วนำแสง (fiber optics)

     เป็นตัวกลางที่สามารถส่งข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วโดยอาศัยการส่งสัญญาณแสงผ่านเส้นใยแก้วนำแสงที่มัดรวมกัน การนำเส้นใยแก้วนำแสงมาใช้ในการสื่อสารก่อให้เกิดแนวความคิดเกี่ยวกับ ทางด่วนข้อมูล  (Information Superhighway)” ที่จะเชื่อมโยงระบบเครือข่ายคอมพวเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลและสารสนเทศต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ปัจจุบันเทคโนโลยีเส้นใยแก้วนำแสงได้ส่งผลกระทบต่อวงการสื่อสารมวลชนและการค้าจขายสินค้าผ่านระบบเครือข่ายอิเล็คทรอนิกส์

 7. อินเทอร์เน็ต (internet)

     เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงไปทั่วโลก มีผู้ใช้งานหลายล้านคน และกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่สมาชิกสามารถติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนค้นหาข้อมูลจากห้องสมุดต่าง ๆ ได้ ในปัจจุบันได้มีหลายสถาบันในประเทศไทยที่เชื่อมระบบคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายนี้ เช่น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (Nectec) จุฬาลงกรณณ์มหาวิทยาลัยและสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย เป็นต้น
8. ระบบเครือข่าย (networking system)

      โดยเฉพาะระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่ Local Area Network : LAN)  เป็นระบบสื่อสารเครือข่ายที่ใช้ในระยะทางที่กำหนด  ส่วนใหญ่จะภายในอาคารหรือในหน่วยงาน LAN  จะมีส่วนช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำงานของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้สูงขึ้น  รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การใช้ข้อมูลร่วมกัน และการเพิ่มความรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร นอกจากนี้ระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลยังผลักดันให้เกิดการกระจายความรับผิดชอบในการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศไปยังผู้ใช้มากกว่าในอดีต
9. การประชุมทางไกล (teleconference)

     เป็นการนำเทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายโทรทัศน์ และระบบสื่อสารโทรคมนาคมผสมผสาน เพื่อให้สนับสนุนในการประชุมมีประสิทธิภาพ โดยผู้นำเข้าร่วมประชุมไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ในห้องประชุมและพื้นที่เดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาในการเดินทาง โดยเฉพาะในสภาวะการจราจรที่ติดขัด ตลอดจนผู้เข้าประชุมอยู่ในเขตที่ห่างไกลกันมาก
10. โทรทัศน์ตามสายและผ่านดาวเทียม (cable and sattleite TV)

     การส่งสัญญาณโทรทัศน์ผ่านสื่อต่าง ๆ ไปยังผู้ชม จะมีผลทำให้ข้อมูลข่าวสารสามารถแพร่ไปได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่กว้างขึ้น โดยที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงข้อมูลจากสื่อต่าง ๆ ได้มากขึ้น ส่งผลให้ผู้ชมรายการมีทางเลือกมากขึ้นและสามารถตัดสินใจในทางเลือกต่าง ๆ ได้เหมาะสมขึ้น
11. เทคโนโลยีมัลติมีเดีย (multimedia technology)

 เป็นการนำเอาคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มาจัดเก็บข้อมูลหรือข่าวสารในลักษณะที่แตกต่างกันทั้งรูปภาพ ข้อความ เสียง โดยสามารถเรียกกลับมาใช้เป็นภาพเคลื่อนไหวได้ และยังสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ด้วยการประยุกต์เข้ากับความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ เช่น หน่วยความจำแบบอ่านอย่างเดียวที่บันทึกในแผ่นดิสก์ CD-ROM) จอภาพที่มีความละเอียดสูงHigh Resolution) เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อจัดเก็บและนำเสนอข้อมูล ภาพ และเสียงที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีมัลติมีเดียเป็นเทคโนโลยีที่ตื่นตัวและได้รับความสนใจจากบุคคลหลายกลุ่ม เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญว่าจะเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษา โฆษณา และบันเทิงเป็นอย่างมาก
12. การใช้คอมพิวเตอร์ในการฝึกอบรม (computer base training)
       
        เป็นการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการฝึกอบรมในด้านต่าง ๆ หรือการนำเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในด้านการเรียนการสอนที่เรียกว่า คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน (Computer Assis tedn Instruction) หรือ CAI ” การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการสอนเปิดช่องทางใหม่ในการเรียนรู้ โดยการส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ ตลอดจนปรัชญาการเรียนรู้ด้วยตนเอง
13. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ (computer aided design) หรือ CAD

  เป็นการนำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบข้อมูลเข้ามาช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ รวมทั้งรูปแบบหีบห่อของผลิตภัณฑ์หรือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยทางด้านการออกแบบวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมให้มีความเหมาะสมกับความต้องการและความเป็นจริง ตลอดจนช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในการออกแบบ โดยเฉพาะในเรื่องของเวลา การแก้ไข และการจัดเก็บแบบ
14. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการผลิต (computer aided manufacturing) หรือ CAM

     เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์จะมีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือได้ในการทำงานที่ซ้ำกัน ตลอดจนสามารถตรวจสอบรายละเอียดและข้อผิดพลาดของผลิตภัณฑ์ได้ตามมาตรฐานที่ต้องการ ซึ่งจะช่วยประหยัดระยะเวลาและแรงงาน ประการสำคัญ ช่วยให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์มีความสม่ำเสมอตามที่กำหนด
15. ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Infomation System) GIS

    เป็นการนำเอาระบบคอมพิวเตอร์ทางด้านรูปภาพ (graphics) และข้อมูลทางภูมิศาสตร์มาจัดทำแผนที่ในบริเวณที่สนใจ GIS สามารถนำมาประยุกต์ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการต่าง ๆ เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์ การบริหารการขนส่ง การสำรวจและวางแผนป้องกันภัยธรรมชาติ การช่วยเหลือและกู้ภัย เป็นต้น


วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ไมโครซอฟท์กำลังพัฒนา Surface RT 2

         จากการเปิดเผยของ Jen-Hsun Huang ซีอีโอของ NVIDIA ที่ให้สัมภาษณ์กับ CNET ว่าในขณะนี้ไมโครซอฟท์กำลังเดินหน้าพัฒนาแท็บเล็ต Surface RT รุ่นที่ 2 ภายใต้การใช้ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดอย่าง Windows 8.1 มาพร้อมกับ Outlook for Surface RT ที่ถูกยกให้เป็น "Killer App" กันเลยทีเดียว ซึ่งหากมองข่าวคราวของแท็บเล็ต Surface รุ่นที่ 2 ที่ผ่านมากับข่าวล่าสุดนี้ก็น่าจะยืนยันได้ในระดับหนึ่งแล้วว่าไมโครซอฟท์มุ่งมั่นกับการพัฒนาแท็บเล็ตรุ่นใหม่ที่เดากันว่าอยู่ในขนาด 7-8 นิ้ว เพื่อรองรับการระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ แถมการใช้ชิปประมวลมีสิทธิ์เลือก Qualcomm Snapdragon 800 อีกเช่นกัน

          
         ถึงอย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ของ Surface RT ในรุ่นแรกคงทำให้ไมโครซอฟท์ต้องหันมาปรับแผนการพัฒนาในรุ่นต่อไปให้มีความทันสมัยและตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และในส่วนของราคาก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไมโครซอฟท์อาจต้องคิดทบทวนอีกเช่นกัน